ส.ค.ส. 2556

สวัสดีปี พ.ศ.2556
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ Charin’s Weblog
ขอชีวิตมีพรั่งพร้อม ดั่งรายล้อมสวรรยา
โชคลาภอนันต์มา เกษมมั่นนิรันดร์เทอญ

Merry Christmas and a Happy New Year 2013
May the coming year be your successful
and profitable year.
Charin’S weblog

Charin   (ขออภัยเวปลิงค์ของเราทั้งหมด กำลังปรับปรุง)

สวัสดีปี ๒๕๕๖

ขอลาที ปีเก่า แสนเศร้าโศก
ความอับโชค ที่มา กับราศี
อีกโพยภัย ไข้ทำ ประจำมี
ในชีวี จงสลาย มลายพลัน

คลิกดูเลย

(ขออภัยเวปลิงค์ของเราทั้งหมด กำลังปรับปรุง)

กล้วย..ผลไม้ที่ลิงชอบ (1)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิ้ลไปมากมายนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่พูดถึงผลไม้ไทยๆ บ้าง ที่จริงแล้วผลไม้ธรรมดาๆ อย่าง “กล้วย” จัดว่าไม่ธรรมดาค่ะ
เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

นอกจากนั้น กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน

กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวัน ของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

อันที่จริงกล้วยเป็นผลไม้พื้นบ้านที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมนูแรกๆ ของชีวิตนอกจากนมแม่ก็คือ กล้วยบด ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับทารกอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 2 ขวบ เนื่องจากกล้วยสุกย่อยง่ายและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังมีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

กล้วยสุกงอมจะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ และไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะกล้วยสุกมีคุณสมบัติเฉพาะคือ ทำให้มีฤทธิ์เป็นกรดในลำไส้ ช่วยให้เกลือแร่ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้ง่าย ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าจากธัญพืชอื่นๆ และยังมีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก ทองแดง

ส่วนกล้วยดิบจะมีแป้งชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ในลำไส้เล็ก แต่ไปสลายตัวในลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เกิดลมในท้องได้ แต่กล้วยดิบก็มีสรรพคุณแก้อาการท้องเสียได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญในการออกฤทธิ์แก้อาการท้องเสียก็คือสารแทนนินซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานใช้แก้อาการท้องเสียได้

วิธีการก็คือ นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของกล้วย ก็คือ มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อทดลองให้หนูขาวกินยาแอสไพริน แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้เมื่อกินผงกล้วยดิบในปริมาณ 5 กรัม และสามารถรักษาแผลในกระเพาะที่เป็นแล้วได้เมื่อกินในปริมาณ 7 กรัม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
สำหรับสารสกัดจะมีฤทธิ์เป็น 300 เท่าของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยการเพิ่มเมือก และเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์ที่ส่งผลไปถึงการรักษาแผลด้วย

สำหรับผู้ที่มักจะมีอาการแน่นจุกเสียด ยังสามารถใช้ผลกล้วยดิบฝานบางๆ แล้วตากแห้ง บรรเทาอาการปวดท้องจุกเสียดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

เมื่อพูดถึงกล้วย ไม่ใช่เพียงแต่ผลกล้วยเท่านั้นที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น

ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว

ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละ ? – 1 ช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก

หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม

ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้

รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ

เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นตุ่ม คัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ดีกว่า ..คลิก.. เลยครับ)

ตับ ไต ไส้ พุง

คุณ คุณ เคยได้ยินแบบนี้บ้างใช่ไหมครับ ครับผมก็เคยได้ยินมา นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เรารู้ว่าตับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ระยะนี้เราจะได้ยินคนเสียชีวิตด้วยโรคตับบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ (บางชนิดมีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งได้) ตับแข็ง ดีซ่าน หรือ มะเร็งตับ โดยเฉพาะมะเร็งตับเมื่อใครเป็น ส่วนใหญ่ไม่รอด รอดยาก แต่อย่างว่าเมื่อชีวิตไม่สิ้นเราก็ต้องดิ้นกันไป (ใครพูดก็ไม่รู้เนอะ) เอแต่เรารู้ไหมครับว่าตับมันมีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเราล่ะ และถ้าเราเริ่มมีปัญหากับตับแล้ว เราจะดูแลแก้ไขอย่างไรดี ครับวันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
หน้าที่และประโยชน์ของตับ
ตับมีหน้าที่หลัก คือ ขจัดสารพิษ ฮอร์โมน หรือสารเคมีจากยา ควบคุมความสมดุลของ กลูโคส โปรตีน ไขมัน คอเลสเตอรอล ฮอร์โมน และวิตามินต่าง ๆ ในร่างกายให้คงที่ตลอดเวลา ทำหน้าที่ฆ่าและขับเชื้อจุลินทรีย์และเจ้าตัวร้ายอื่น ๆ ที่จะผ่านทางผนังลำไส้ของเรา ก่อนเข้าสู่กระแสเลือด ฯลฯ แค่หน้าที่หลัก ๆ ก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่าสำคัญอย่างไร งั้นเรามาดูสาเหตุที่ทำลายตับกัน เมื่อก่อนใครก็จะคิดกันว่าคนกินเหล้าเท่านั้นที่มีโอกาสที่จะเป็น ไม่แน่นะคุณอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบ้างก็ได้ใครจะไปรู้
สาเหตุของโรคตับ
1. ใครชอบนอนดึก ตื่นสาย เพราะคิดว่าด้วยระยะเวลาเท่ากันที่ได้นอนจะทดแทนกันได้ คิดผิดครับ คิดผิด เพราะนอนดึกและตื่นสายเป็นเหตุลำดับต้น ๆ
2. การที่ไม่อุจจาระ ปัสสาวะในตอนเช้า (เวลาตามนาฬิกาชีวิต ควรขับถ่ายเวลา 05.00 – 07.00 น. ของทุกวัน) เมื่อตื่นนอนร่างกายก็ต้องการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างนอนหลับ แต่ถ้าไม่ขับถ่ายในตอนเช้าก็จะทำให้ของเสียถูกดูดกลับเข้าไปหมุนเวียนในร่างกาย ทำให้เลือดไม่สะอาด อันจะเป็นสาเหตุให้โรคภัยเดินตามมา (เป็นขวน)
3. เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร เช่น ทานจุ กินจุบจิบทั้งวัน การกินอาหารแล้วเข้านอน ตับจะทำงานหนัก เพราะตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากช่วยกระเพาะย่อยอาหาร

– 2 –

4. ใครที่หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด ปวดนิดปวดหน่อยก็พึ่งแต่ยานั่นแหละครับ ตับก็จะทำงานในการขจัดสารพิษที่มากับยา การที่เราใช้ยาแก้ปวดบางทีอาจเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เช่น การปวดหัว บางครั้งร่างกายต้องการบอกว่าคุณใช้ฉันมากไปแล้วนะ ฉันเหนื่อยแล้วนะ ให้ฉันพักได้แล้ว การที่เรากินยาแก้ปวดเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ (เหมือนกับบอกเขาว่าคุณมีหน้าที่ทำคุณก็ทำไปอย่าบ่น) ยาที่เรากินเข้าไปมันจะไปกดประสาทไม่ให้รู้สึกปวด แต่จริง ๆ มีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว
(ทางนักธรรมชาติบำบัดโดยหมอเจคอบ แนะนำว่าเปิดก๊อกน้ำ ก้มหัวราดน้ำ 5 นาที ทำให้ระบบส่วนกลางเย็นลง ถ้าเจ็บปวดบริเวณอื่นก็ใช้วิธีเดียวกัน)
5. ชอบบริโภคอาหารที่เกิดจากน้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งน้ำมันทอดซ้ำนั้นมีส่วนที่ให้เกิดมะเร็ง
6. ชอบบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร วัตถุปรุงแต่งรสต่าง ๆ (น้ำตาลเทียม) เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป ทานอาหารชอบเติมเครื่องปรุงต่าง ๆ เพิ่ม
7. ทานอาหารที่ผ่านการปรุงมากเกินไป ผักควรทานสด ๆ หรือผ่านการทำให้สุกเพียง 3 – 5 ส่วน ผักที่ผ่านการผัดควรจะบริโภคให้หมดไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะเนื่องจากสารอาหารคุณค่าจะเหลือน้อยลง
8. ทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
9. การมีอารมณ์โกรธ โมโห หรือเครียด เมื่อมีอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เซลล์ในตับก็จะเริ่มตายไปเรื่อย ๆ ทำให้ตับเสื่อมเร็วมากขึ้น
10. การโกรกย้อมสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม เคมี ทาปากที่สารเคมีเจือปนอยู่ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะซึมผ่านเข้าทางเส้นเลือดฝอย ฯลฯ
การดูแลและรักษาตับ
1. เข้านอนแต่หัวค่ำ (ถ้าไม่ได้จริง ๆ ช่วงเวลา 01.00 – 03.00 น. ของทุกวัน จะเป็นเวลาที่ตับจะต้องขับสารพิษออกจากร่างกาย ควรงีบหลับอย่างน้อยสัก 15 นาที ในช่วงเวลานี้)
2. ทุกวันที่ตื่นนอนในตอนเช้า ควรทานน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติหรืออุ่น ๆ อย่างน้อย 1 แก้ว ออกกำลังกายนิดหน่อย โดยเฉพาะหน้าท้องต้องเคลื่อนไหว อีกสักครู่ไปเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายของเสีย
3. ทานอาหารให้เป็นเวลา เช่น ควรทานอาหารมื้อเช้า ระหว่างเวลา 07.00 – 09.00 น. เพราะเมื่อกินเวลา 09.00 น. ไปแล้ว แทนที่ตับจะพักผ่อนก็ต้องทำงานอีก

– 3 –

4. ลดการทานยาระงับการเจ็บป่วยต่าง ๆ เอง (ถ้าเป็นมากหลายครั้งผิดปกติควรปรึกษาแพทย์) เพราะอาการปวดระยะแรก ๆ เป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าคุณเริ่มมีปัญหากับส่วนนั้นแล้ว
5. อย่าบริโภคอาหารที่เกิดจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำ
6. พยายามบริโภคอาหารสด ไม่เติมเครื่องปรุงในอาหารประเภทต่าง ๆ เพราะในอาหาร ทุกชนิดผู้ปรุงอาหารใส่มาแล้วทั้งนั้น (ทางที่ดีทานรสจืดดีที่สุด)
7. ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด
8. งดและดลการใช้สารเคมีกับร่างกาย ถ้าต้องการจะโกรกผมควรใช้สมุนไพรดีกว่านะครับ ถึงแม้จะไม่ติดทน ย้อมติดได้ไม่นานแต่ดีกับตับคุณนะครับ ขอแนะนำสมุนไพรเฮนน่าดีกว่าครับ เพราะมาจากธรรมชาติ ส่วนลิปสติกทาปาก ปัจจุบันมีเครื่องสำอางบางยี่ห้อนำสีผึ้งมาผลิตเป็นลิปสติกทาปาก ส่วนสีก็ใช้สีจากวัสดุธรรมชาติ ของแถมจะได้ปากที่ไม่ดำคล้ำลองหาดูกันนะครับ
วิธีล้างสารพิษในตับ (อ.สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดของไทย)
1. ใช้เห็ดสามอย่างขึ้นไป นำมาต้มและเอาน้ำนั้นมาทำน้ำซุบหรือน้ำต้มยำปรุงอาหาร ห้ามผัดน้ำมัน ถ้าจะใช้ใช้กะทิแทนน้ำมันจะได้ประโยชน์มากกว่า
2. กินขมิ้นชันก่อนนอน เพื่อขับไขมันในตับและบางคนในตอนเช้าก็จะขับถ่ายคล่องขึ้น

โชคดีมีสุขภาพกันทุกคนครับ
(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ..คลิก..เลยครับ)

วิตามินเอ

     วิตามินเอ ประกอบด้วยสารเรตินอลและแคโรทีน เรตินอลมักพบในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น เช่น เนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ ตับ น้ำมันตับปลา เรตินอลจะช่วยให้ร่างกายใช้วิตามินเอได้ทันที ส่วนรูปแบบของวิตามินเอที่พบในพืชจะเรียกว่า เบต้าแคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย พบมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้ม แสด แดง เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอสุก และผักใบเขียวเข้ม เช่น ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง บร็อคโคลี่

 Vitamin A

       วิตามินเอทนกรด ด่าง และความร้อนได้ดีพอสมควร ในการประกอบอาหาร เช่นการทำอาหารกระป๋อง วิตามินเอจะถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การแช่แข็งอาจลดปริมาณวิตามินเอในอาหาร
       
       วิตามินเอเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ได้แก่
       
       – ช่วยในการมองเห็นในที่มืด
       
       – ช่วยบำรุงรักษาเซลล์ชนิดบุผิวให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เช่น เยื่อบุตาขาว เยื่อบุทางเดินหายใจ เยื่อบุทางเดินอาหาร เยื่อบุทางเดินปัสสาวะ และเยื่อบุหูชั้นกลาง เป็นต้น
       
       – ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
       
       – ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ตามปกติ เช่น การสร้างตัวอสุจิในผู้ชายและระบบประจำเดือนของผู้หญิง และจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
       
       – ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง
       
       – เบต้าแคโรทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง และความผิดปกติของไขมันในร่างกาย ซึ่งทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว
       
       แต่เดิม วิตามินเอมีหน่วยเป็นหน่วยสากล (International Units หรือ IU) ต่อมาได้กำหนดหน่วยวิตามินเอเป็น Retinal Equivalents (RE) อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์วิตามินเอบางชนิดก็ยังใช้หน่วย IU เหมือนเดิม
       
       คนทั่วไปต้องการวิตามินเอวันละประมาณ 800-1,000 RE แต่ภาวะบางอย่างอาจทำให้ร่างกายต้องการวิตามินเอเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะท้องร่วง โรคตา โรคลำไส้ การติดเชื้อเป็นเวลานาน โรคหัด โรคตับอ่อน การผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกบางส่วน ความเครียดแบบต่อเนื่อง การรับประทานยาคุมกำเนิด ทารกที่ได้รับนมชนิดที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
       
       ผลของการขาดวิตามินเอ
       
       การขาดวิตามินเออาจนำไปสู่ภาวะตาบอดกลางคืน หรือปัญหาการมองเห็นในที่มืด รวมทั้งทำให้ตาแห้ง ตาติดเชื้อ
       ผิวหนังจะแห้ง หนาขึ้น และหยาบเป็นเกล็ด ผมและขนจะแห้งและร่วง เล็บเปราะ นอกจากนี้จะทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ชนิดบุผิวของอวัยวะต่าง ๆ เช่น
       
       – ระบบทางเดินหายใจ อาจมีการอักเสบในช่องจมูก ช่องปาก ต่อมน้ำลาย เจ็บคอบ่อยๆ หูอักเสบ การอักเสบเหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ เพราะเยื่อบุอวัยวะเหล่านี้แห้งตายหรือสลายตัว ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ง่าย
       
       – ระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้ปาก คอ ลิ้น และเหงือกอักเสบ เป็นแผลที่กระเพาะอาหารและลำไส้ได้ง่าย อาจมีอาการท้องร่วง
       – ระบบปัสสาวะ มักมีการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ เกิดปฏิกิริยาทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นด่าง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ
       
       การขาดวิตามินเอยังทำให้การเจริญเติบโตช้าลง กระดูกจะหนา ใหญ่ และหมดสมรรถภาพในการโค้งงอ ส่วนฟันนั้นจะมีการลอกหลุดของเคลือบฟัน เหลือแต่เนื้อฟัน ทำให้ฟันผุได้ง่าย
       นอกจากนี้ยังเจ็บป่วยง่ายเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ง่ายต่อการแพ้สิ่งต่างๆ เบื่ออาหาร ความรู้สึกรับรสและกลิ่นไม่ดี
       
       ผลของการได้รับวิตามินเอมากเกินไป
       
       โดยปกติแล้ว วิตามินเอมักจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ เมื่อใช้ตามปริมาณที่แนะนำ อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินเอในปริมาณสูงอาจเกิดการสะสมในร่างกายและเป็นพิษได้ใน 2 ลักษณะ คือ
       
       – พิษเฉียบพลัน เกิดขึ้นเมื่อได้รับในปริมาณสูงมากๆ เช่น รับประทานตั้งแต่ 1 ล้านหน่วยหรือมากกว่า อาการสำคัญคือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง ง่วงนอน อ่อนเพลีย มองเห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน ถ้าได้รับวิตามินเอในปริมาณที่สูงกว่านี้มากๆ อาจถึงแก่ความตายได้ เพราะระบบหัวใจไม่ทำงาน
       
       – พิษเรื้อรัง เกิดจากการรับประทานวิตามินเอวันละประมาณ 1 แสนหน่วยเป็นเวลานาน มักพบในคนไข้โรคผิวหนังที่ได้รับการรักษาด้วยวิตามินเอปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน อาการสำคัญ คือ เวียนศีรษะ ผิวหนังหยาบกร้าน เป็นขุย และคัน ผมร่วง เล็บเปราะ ริมผีปากแห้งแตก เหงือกอักเสบ ปวดข้อกระดูกและข้อต่อ หากหยุดรับประทานวิตามินในปริมาณมากๆ อาการก็จะหายไป
       
       หญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานวิตามินเอในปริมาณสูงถึงวันละ 25,000 IU (7,500 RE) เป็นเวลานาน อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติ พิการ หรือแท้งได้
       
       ผู้ที่ได้รับแคโรทีนในปริมาณสูง จะทำให้ผิวหนังบริเวณร่องจมูก ฝ่ามือและฝ่าเท้ามีสีเหลือง เนื่องจากแคโรทีนถูกขับออกมาจากต่อมน้ำมันของผิวหนัง ต่างจากโรคดีซ่านคือตาจะไม่เหลือง อาการดังกล่าวจะหายไป เมื่องดบริโภคอาหารที่มีแคโรทีนสูง
       
       ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ เป็นโรคติดสุราหรือเคยมีประวัติ เป็นโรคตับ โรคไต หรือรับประทานยาประจำตัว หากจะรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการใช้วิตามินเออาจมีผลต่อโรคที่เป็นอยู่
       
       วิตามินเอถูกทำลายได้ง่ายเมื่อได้รับความร้อนสูงมากๆ ในอากาศ แสงแดด และในไขมันที่เหม็นหืน จึงควรเก็บใส่ขวดสีน้ำตาล อย่าเก็บในห้องน้ำ ใกล้อ่างล้างจานในครัว หรือบริเวณที่เปียกชื้น เพราะความร้อนหรือความชื้นอาจทำให้อาหารเสริมเสื่อมสภาพได้

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ..คลิก..เลยครับ)

วิตามินบี 5

       วิตามินบี 5 หรือกรดแพนโทเธนิค (Pantothenic Acid) ไม่ค่อยคงทน ถูกทำลายได้ง่ายโดยความร้อน กรด เช่น น้ำส้ม และด่าง เช่น โซดาสำหรับทำขนม หรือ Baking Soda

      Vitamin B5 วิตามินบี 5 ในเนื้อสัตว์จะสูญหายไปขณะหุงต้มประมาณ 33% และในแป้งจะสูญหายไปประมาณ 50% ขณะขัดสีและบดเป็นแป้ง
       
       ประโยชน์ต่อร่างกาย
       
       – เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของต่อมอะดรีนัล และช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพของผิวหนังและระบบประสาท
       – ช่วยในการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เพื่อให้ได้พลังงาน
       – ช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลเป็นฮอร์โมนสำหรับต่อต้านความเครียด ป้องกันอาการอ่อนเพลีย
       – ช่วยในการป้องกันโรค และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค
       
       แหล่งที่พบ
       
       วิตามินบี 5 พบมากที่สุดในตับ รองลงมาได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ถั่ว เมล็ดธัญพืช ไข่แดง บริวเวอร์ยีสต์ เป็นต้น
       
       ปริมาณที่แนะนำ
       
       การขาดวิตามินบี 5 เป็นไปได้ยากมาก การได้รับประมาณวันละ 4-7 มิลลิกรัมก็เพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่
       
       ผลของการขาด
       
       ส่วนใหญ่แล้วไม่พบว่ามีปัญหาใดเกิดขึ้นจากการขาดวิตามินบี 5 เพียงอย่างเดียว อาการที่อาจเกิดขึ้นได้บ้าง ได้แก่ อาเจียน กระสับกระส่าย ปวดท้อง ท้องอืด รู้สึกร้อนที่เท้า (Burning Feet Syndrome) เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หลับไม่สนิท ซึมเศร้า และหงุดหงิด
       
       ผลของการได้รับมากเกินไป
       
       วิตามินบี 5 จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ และอีกส่วนน้อยทางเหงื่อ โดยปกติแล้ววิตามินบี 5 มักไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ
       
       สารหรืออาหารเสริมฤทธิ์ ได้แก่
       
       – วิตามินบีรวม วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 นมผึ้ง แคลเซียม
       – ไบโอตินและกรดโฟลิค ช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 5 เข้าสู่ร่างกาย
       – วิตามินซี ช่วยป้องกันวิตามินบี 5 ถูกทำลายในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
       
       สารหรืออาหารต้านฤทธิ์ ได้แก่ ยาแอสไพริน ยาลดไข้ ระงับปวด

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ..คลิก..เลยครับ)

วิตามิน B1

 vitamin-b1    วิตามินบี 1 หรือ ไธอะมีน ( thiamine ) เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้เกิดพลังงาน ช่วยในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ทำให้ระบบย่อยและระบบขับถ่ายดีขึ้น จึงสามารถป้องกันท้องผูกได้ ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการเจริญเติบโต การสืบพันธ์ และการผลิตน้ำนม นอกจากนี้ยังช่วยการทำงานของระบบประสาท
              
       แหล่งที่พบ
       ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งพบมากในเนื้อหมู ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ยีสต์ ถั่วเมล็ดแห้ง งา ธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ไข่ นม ตับ


       ปริมาณที่แนะนำ
       
       แต่ละคนจะมีความต้องการวิตามินบี 1 ในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น เพศ น้ำหนักตัว ดังนี้ ผู้ชาย 1.2-1.4 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้หญิง 1.0-1.1 มิลลิกรัมต่อวัน เด็ก 0.6-1.0 มิลลิกรัมต่อวัน สตรีตั้งครรภ์ 1.4-1.5 มิลลิกรัมต่อวัน สตรีให้นมบุตร 1.5-1.6 มิลลิกรัมต่อวัน


       สาเหตุของการขาดวิตามินบี 1


       1. การรับประทานวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอต่อความต้องการ อาจเกิดจากความอดอยาก หรือการรับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน


       2. การรับประทานอาหารที่มีสารต้านฤทธิ์ของวิตามินบี 1 ซึ่งมี 2 ประเภท ได้แก่
       – สารต้านฤทธิ์ที่ไม่ทนต่อความร้อน ได้แก่ น้ำย่อยไธอะมิเนส พบได้ในอาหารจำพวกปลาน้ำจืด ปลาร้า และหอยลาย ถ้ากินอาหารพวกนี้ดิบๆ จะทำให้น้ำย่อยทำลายวิตามินบี 1 โดยตรง
       – สารต้านฤทธิ์ที่ทนต่อความร้อน ได้แก่ กรดแทนนิก กรดคาเฟอิก ซึ่งพบใน ชา กาแฟ ผักและผลไม้บางชนิด เช่น ใบชา ใบเมี่ยง หมาก พลู สารเหล่านี้จะไปรวมกับวิตามินบี 1 ทำให้เสียโครงสร้างไป ถึงแม้สารพวกนี้จะผ่านความร้อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถทำลายวิตามินบี 1 ได้
       
       3. ภาวะที่มีการเพิ่มเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย จะมีการสลายตัวของคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น ความต้องการวิตามินบี 1 จึงสูงขึ้นด้วย ภาวะดังกล่าวได้แก่
       – ภาวะทางสรีระวิทยา ได้แก่ เด็กในวัยเจริญเติบโต หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร และการทำงานหนัก
       – ภาวะทางพยาธิวิทยา ได้แก่ โรคติดเชื้อ หรือมีความเจ็บป่วยต่างๆ ได้แก่ การผ่าตัด ภาวะเครียด ภาวะต่อมธัยรอยด์ทำงานมาก


       4. การลดการดูดซึมวิตามินบี 1 จากลำไส้ หรือการสูญเสียวิตามินบี 1 เช่นในกรณีผู้ป่วยโรคตับ การใช้ยาขับปัสสาวะ และภาวะท้องร่วง เป็นต้น
       
       ผลของการขาด
       
       เมื่อขาดวิตามินบี 1 จะส่งผลให้เกิดโรคเหน็บชา อาจมีสัญญาณเตือนคืออาการเบื่ออาหาร ตามมาด้วยอาการท้องผูก มีความผิดปกติทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย คือกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ผิวหนังไม่มีความรู้สึก เป็นอัมพาตตามแขนขา อาจมีอาการบวมตามตัวแขนขา ความจำไม่ดี นอนไม่หลับ มีอาการทางหัวใจ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หัวใจบวมโต หรืออาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว
       
       ผลของการได้รับมากเกินไป
       
       
วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จึงไม่มีการสะสมในร่างกาย โดยจะขับออกทางปัสสาวะ จึงมักไม่ปรากฏอาการเป็นพิษ การบริโภควิตามินบี 1 ปริมาณสูงเกินความต้องการของร่างกายจะไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกมาทางปัสสาวะเกือบหมดภายใน 4 ชั่วโมง
       สารหรืออาหารที่เสริมฤทธิ์ของวิตามินบี 1 ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 กรดโฟลิก วิตามินอี แมงกานีส กำมะถัน และวิตามินซี
       
       การเก็บรักษาคุณค่าทางอาหาร
       
       อาหารที่มีการเคี่ยวหรือใช้ความร้อนนานๆ มีการแช่น้ำนานๆ หรือมีการผสมกับด่าง เช่น โซดา ผงฟู จะทำให้สูญเสียวิตามินบี 1 การหุงข้าวโดยการซาวน้ำทิ้งหลายๆ ครั้ง ก็ทำให้สูญเสียวิตามินบี 1 เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงควรเลือกข้าวที่สะอาด เพื่อจะได้ไม่ต้องซาวน้ำทิ้งหลายๆ ครั้ง
       
       การย่างหรืออบอาหารจำพวกเนื้อสัตว์อาจสูญเสียวิตามินบี 1 ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การต้มหรือลวกเนื้อแล้วทิ้งน้ำไป จะทำให้สูญเสียวิตามินสูงถึง 50เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ารับประทานทั้งเนื้อและน้ำด้วย จะสูญเสียวิตามินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การต้มผักในน้ำน้อยๆ ให้สุกโดยเร็ว จะสูญเสียวิตามินน้อยกว่าการต้มนานๆ ในน้ำมากๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบีหรือวิตามินซี

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ..คลิก..เลยครับ)

สวัสดีปี 2552

flov_3Happy new year 2009      to you.
สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่าน
เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ผมขออวยพรให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุข ความเจริญ และคิดสี่งใดขอให้ได้ดังใจหวัง ตลอดปี 2552 และตลอดไป

และขอให้รักคุณพ่อ-คุญแม่มากๆ

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง กระเทียม .. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ น้ำตาลหรืออาหารหวาน… ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต ชา…ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ..คลิก..เลยครับ)

เรื่องราวการคอร์รัปชัน

ผู้ปราบมาร

เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี ๒๕๔๓ ตามมติของที่ประชุมข่ายประชาสังคมไทย ต่อมาจึงมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา โดยมี ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติมาเป็นประธานในการสถาปนาองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล โดยมีสมาชิกและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเป็นสักขีพยานกว่าพันคน ที่มีจุดหมายร่วมกันในการผนึกกำลังของประชาชน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ

(เริ่มตันชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม คลิกดู เลยครับ)