เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิ้ลไปมากมายนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่พูดถึงผลไม้ไทยๆ บ้าง ที่จริงแล้วผลไม้ธรรมดาๆ อย่าง “กล้วย” จัดว่าไม่ธรรมดาค่ะ
เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต
นอกจากนั้น กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน
กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวัน ของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
อันที่จริงกล้วยเป็นผลไม้พื้นบ้านที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมนูแรกๆ ของชีวิตนอกจากนมแม่ก็คือ กล้วยบด ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับทารกอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 2 ขวบ เนื่องจากกล้วยสุกย่อยง่ายและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังมีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก
กล้วยสุกงอมจะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ และไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะกล้วยสุกมีคุณสมบัติเฉพาะคือ ทำให้มีฤทธิ์เป็นกรดในลำไส้ ช่วยให้เกลือแร่ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้ง่าย ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าจากธัญพืชอื่นๆ และยังมีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก ทองแดง
ส่วนกล้วยดิบจะมีแป้งชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ในลำไส้เล็ก แต่ไปสลายตัวในลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เกิดลมในท้องได้ แต่กล้วยดิบก็มีสรรพคุณแก้อาการท้องเสียได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญในการออกฤทธิ์แก้อาการท้องเสียก็คือสารแทนนินซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานใช้แก้อาการท้องเสียได้
วิธีการก็คือ นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย
สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของกล้วย ก็คือ มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อทดลองให้หนูขาวกินยาแอสไพริน แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้เมื่อกินผงกล้วยดิบในปริมาณ 5 กรัม และสามารถรักษาแผลในกระเพาะที่เป็นแล้วได้เมื่อกินในปริมาณ 7 กรัม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
สำหรับสารสกัดจะมีฤทธิ์เป็น 300 เท่าของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยการเพิ่มเมือก และเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์ที่ส่งผลไปถึงการรักษาแผลด้วย
สำหรับผู้ที่มักจะมีอาการแน่นจุกเสียด ยังสามารถใช้ผลกล้วยดิบฝานบางๆ แล้วตากแห้ง บรรเทาอาการปวดท้องจุกเสียดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
เมื่อพูดถึงกล้วย ไม่ใช่เพียงแต่ผลกล้วยเท่านั้นที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละ ? – 1 ช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นตุ่ม คัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก
(เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ดีกว่า ..คลิก.. เลยครับ)
Filed under: Uncategorized | Leave a comment »