ความรู้เกี่ยวกัยยา

วิตามินเสริมจำเป็นแค่ไหน

เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย ยาที่แพทย์จ่ายให้ อาจมี ข้อแนะนำพิเศษในการใช้ยา ซึ่งควรรู้อย่างยิ่งว่ามันหมายความว่าอย่างไร เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา
       
cap_ya_2       
1.รับประทานติดต่อกันทุกวันจนหมด เพื่อให้การรักษาได้ผลดี ยาบางประเภทต้องรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหรือตามแพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะทุเลาลงหรือไม่มีอาการแล้วก็ตาม เช่น ยาฆ่าเชื้อ อะม็อกซี่ซิลีน เตตราซัยคลิน หากรับประทานไม่ครบกำหนดเวลา จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล และอาจเกิดการดื้อยาได้ ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่างต้องรับประทานยาเป็นเวลานาน หยุดยาเองไม่ได้ เช่น ยาจำพวกสเตียรอยด์ (เพรดนิโซโลน) ยารักษาความบกพร่องของร่างกาย เช่น ยาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคกระดูกบางชนิด
       
2.เฉพาะเวลามีอาการ… ยาที่ใช้บรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย แพทย์อาจสั่งให้รับประทานเป็นช่วงๆ เช่น ทุก 4 ชั่วโมง เวลามีอาการ เมื่ออาการทุเลาลง ก็สามารถหยุดยาได้ ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่อง
       
3.ก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหาร ? ถึง 1 ชั่วโมง อาหารอาจลดการดูดซึม หรือยับยั้งทำให้ยาบางชนิดออกฤทธิ์น้อยลง เช่น ยาปฏิชีวนะต่างๆ ยาบางอย่างต้องการให้ออกฤทธิ์ก่อนอาหาร เพื่อผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น ยาแก้อาเจียน หรือในกรณียาเบาหวานบางชนิดที่ต้องรับประทานก่อนอาหาร เพื่อให้การดูดซึมและการออกฤทธิ์มีความสัมพันธ์กับการลดระดับน้ำตาลในเลือด
       
4.หลังอาหาร โดยทั่วไปควรรับประทานหลังอาหาร 15-30 นาที ยกเว้น ยาที่ระบุให้รับประทานหลังอาหารทันที
       
5.หลังอาหารทันที หรือ พร้อมอาหาร ยาบางชนิดทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ การรับประทานหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร ก็เพื่อลดปัญหาดังกล่าว เช่น เพรดนิโซโลน แอสไพริน หรือในกรณียาเบาหวานบางชนิด ให้รับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล
       
6.ควรดื่มน้ำตามมากๆ ยาพวกซัลฟา ละลายน้ำได้น้อยมาก อาจตกตะกอนในไต การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยเพิ่มการละลายได้ หรือยาถ่ายที่ทำให้เพิ่มกากอุจจาระหรือที่ทำให้อุจจาระนิ่ม ควรดื่มน้ำตามมากๆ
       
7.เคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน ยาลดกรดชนิดเม็ด หรือยาบางชนิด ต้องเคี้ยวก่อน เพื่อให้ยากระจายตัวในกระเพาะอาหาร และออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
       
8.ห้ามรับประทานร่วมกับเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาระงับประสาท ยานอนหลับ ยาแก้ปวด หรือยากดประสาทต่างๆ ตลอดจนยาแก้แพ้ จะเสริมฤทธิ์กับแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดอันตรายได้
       
9.ไม่ควรรับประทานยานี้ร่วมกับนมหรือยาลดกรด เพราะนมและยาลดกรด ทำให้การดูดซึมยาบางชนิดลดลง จึงทำให้ผลการรักษาลดลงด้วย เช่น เตตราซัยคลิน ยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก
       
10.รับประทานยานี้แล้วอาจทำให้ง่วงซึม ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาแก้ปวดบางชนิด อาจมีผลข้างเคียง ทำให้ง่วงนอนหรือมึนงง ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังในการขับรถหรือการใช้เครื่องจักรกล
       
11.รับประทานยานี้แล้วปัสสาวะจะมีสีส้มแดง ยาพวก Phenazopyridine ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเข้าใจผิดว่าเป็นเลือด แต่ที่จริงเป็นสีจากยา หรือยา Rifampicin ทำให้น้ำลาย น้ำตา ปัสสาวะ เป็นสีแดงส้ม
       
12.เก็บไว้ในตู้เย็น โดยทั่วไปหมายถึงการเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส โดยแช่ในช่องธรรมดา ไม่ต้องใส่ในช่องทำน้ำแข็ง หรือเก็บในกระติกน้ำแข็งตลอดเวลา เช่น ยาอินซูลิน วัคซีน หรือยาหยอดตาบางชนิด
       
 cap_ya_1      
วิธีสังเกตยาหมดอายุ
       เราควรทราบวิธีสังเกตยาที่มีอยู่ว่ายังสามารถใช้ได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา เพราะหากยาที่ใช้หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว นอกจากจะไม่มีผลในการรักษา ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งมีวิธีการสังเกตง่ายๆ ดังนี้
       วันหมดอายุ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้หลายแบบ เช่น Exp.date, Expiring, Use by หรือ Use before ตัวอย่างเช่น Exp.date 20/02/05 หมายความว่ายาจะหมดอายุในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2005
       แต่หากบนฉลากไม่ได้กำหนดวันที่วันหมดอายุ ก็ให้หมายถึงวันสุดท้ายของเดือนนั้นๆ เช่น Exp.date 03/05 หมายความว่ายาจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2005
       ในกรณีที่ยาไม่ได้กำหนดวันหมดอายุ อาจสังเกตได้จากวันที่ผลิต (Manufacturing date หรือ Mfg.date) ซึ่งโดยทั่วไป หากยานั้นผลิตมาเกิน 5 ปี ก็ไม่ควรนำมาใช้
       ทั้งนี้ยาแต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน และการเก็บรักษาก็มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลกระทบ เช่น แสง ความร้อน ในบริเวณที่เก็บ ทำให้บางครั้งยาที่ยังไม่ถึงวันหมดอายุ แต่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพไปแล้ว ก็ไม่ควรนำยานั้นมาใช้
       
       
การสังเกตลักษณะทางกายภาพของยา สามารถทำได้ง่ายๆ ยาที่เสื่อมคุณภาพแล้ว จะมีลักษณะดังนี้
       –ยาเม็ด มีลักษณะแตกกร่อน กะเทาะ เปลี่ยนสี หรือสีซีด
       –ยาเม็ดเคลือบ มีลักษณะเยิ้มเหนียว
       –ยาแคปซูล มีลักษณะบวม โป่งพอง ผงยาภายในจะจับกันเป็นก้อน เปลี่ยนสี หรืออาจมีเชื้อราขึ้นบนเปลือกแคปซูล
       –ยาน้ำเชื่อม มีลักษณะขุ่น มีตะกอน เปลี่ยนสี มีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยว
       –ยาน้ำแขวนตะกอน มีลักษณะตะกอนจับตัวเป็นก้อนแข็ง เขย่าแรงๆ ก็ไม่กระจาย
       –ยาน้ำอีมัลชั่น มีลักษณะเขย่าแล้วไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน
       –ยาครีม มีลักษณะแยกชั้น ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อครีมเปลี่ยนสี
       –ยาหยอดตา เปลี่ยนจากน้ำใสๆ เป็นน้ำขุ่น หรือหยอดตาแล้วมีอาการแสบตามากกว่าปกติ โดยทั่วไปยาหยอดตาจะมีอายุเพียง 1 เดือน นับจากวันที่เปิดใช้ครั้งแรก

“ทางที่ดีที่สุด หากไม่แน่ใจก็ไม่ควรเสียดายยา”

(เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม คลิกดู เลยครับ)